วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โรค มือ-เท้า-ปาก

โรค มือ-เท้า-ปาก และโรคจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71 นับเป็นโรคที่ระบาดในเด็กโรคหนึ่ง ที่พบทุกปี โดยเฉพาะในช่วงที่เริ่มเข้าหน้าฝนเป็นช่วงที่มีอัตราการระบาดของโรคนี้สูง เพราะฉะนั้น เรามาทำความรู้จักโรคนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ

โรค มือ-เท้า-ปาก
เป็น โรคที่พบบ่อยในเด็ก ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มักระบาดในช่วงหน้าฝน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส ซึ่งมีหลายตัวที่ทำให้เกิดได้ โดยเชื้อที่รุนแรงที่สุด คือ เอนเตอโรไวรัส 71 หรือเรียกสั้นๆ ว่าเชื้อ อีวี71 ที่มีการระบาดรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้านของเราก็เป็นเชื้ออีวี 71 นี่เอง ประเทศไทยเราก็พบเชื้ออีวี71 ร่วมกับเอนเตอโรไวรัสตัวอื่นๆด้วย  แต่ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยรุนแรง

อาการของโรคมือ-เท้า-ปาก
เด็ก ที่เป็นโรคมือ-เท้า-ปาก มักเริ่มด้วยอาการไข้ เจ็บปาก กินอะไรไม่ค่อยได้ น้ำลายไหล เพราะมีแผลในปากเหมือนแผลร้อนใน และมีผื่นเป็นจุดแดง หรือเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจมีตามลำตัว แขน ขาได้ ผู้ป่วยมักมีอาการมากอยู่ 2-3 วัน จากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นจนหายใน 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มีอาการไม่มาก แต่บางรายมีอาการมากจนกินอาหารและน้ำไม่ได้
            โดย ปกติโรคนี้ไม่น่ากลัว และหายเองโดยไม่มีปัญหา แต่อาจมีโอกาสเล็กน้อยที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือพบปัญหาแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะถ้าเกิดจากเชื้ออีวี 71 จะมีโอกาสเกิดโรครุนแรงได้มากขึ้น
            ปัญหา แทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดคือ ก้านสมองอักเสบ ทำให้เกิดภาวะหายใจและระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว ซึ่งถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และบางครั้งเชื้ออีวี 71 อาจทำให้เกิดสมองอักเสบรุนแรงได้ โดยไม่ต้องมีผื่นแบบ มือ-เท้า-ปากได้ เด็กที่จะมีปัญหาแทรกซ้อนรุนแรงหรือสมองอักเสบ จะมีสัญญาณอันตรายได้แก่ ซึม อ่อนแรง ชักกระตุก มือสั่น เดินเซ หอบ อาเจียน ซึ่งหากพบอาการเหล่านี้จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน การระบาดของโรคมือ-เท้า-ปาก ในประเทศไทยในขณะนี้แม้ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดอาการไม่รุนแรง แต่อย่างไรก็ดีต้องระวังอาการรุนแรงไว้ด้วย แม้จะมีโอกาสเกิดน้อยก็ตาม

การรักษาโรคมือ-เท้า-ปาก
            โรคนี้ไม่มียารักษาจำเพาะ หลักการรักษาเป็นการรักษาตามอาการ เด็กที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยวิกฤต
การติดต่อของโรค มือ-เท้า-ปาก
            โรค นี้ติดต่อโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของผู้ป่วยโดยตรง หรือทางอ้อม เช่น สัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โรคนี้จึงมักระบาดในโรงเรียนชั้นอนุบาลเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก

วิธีป้องกันโรค มือ-เท้า-ปาก
            ยัง ไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ การป้องกันที่สำคัญคือ แยกผู้ป่วยที่เป็นโรคมิให้ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น เด็กทุกคนรวมทั้งผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กควรหมั่นล้างมือ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หมั่นทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน การทำความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอก หรือน้ำยาชะล้างทำความสะอาดทั่วไป แล้วทำให้แห้ง ควรระมัดระวังในความสะอาดของน้ำ อาหาร และสิ่งของทุกๆ อย่างที่เด็กอาจเอาเข้าปาก ไม่ให้เด็กใช้ของเล่นที่อาจปนเปื้อนน้ำลาย หรืออุปกรณ์การรับประทานร่วมกัน ควรสอนให้เด็กๆ ใช้ช้อนกลาง และล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
โรงเรียน ไม่ควรรับเด็กป่วยเข้าเรียนจนกว่าจะหายดี ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานที่ป่วยไปพบแพทย์ ไม่ควรพาไปโรงเรียน หากพบว่าเป็นโรคนี้ควรให้การรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ และ เมื่อหายป่วยแล้ว เด็กที่เป็นโรคนี้ยังมีเชื้ออยู่ในอุจจาระได้ นานหลายสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อเด็กหายป่วยแล้ว ยังต้องมีการระวังการปนเปื้อนของอุจจาระต่ออีกนาน ควรเน้นการล้างมือหลังเข้าห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม และก่อนรับประทานอาหารแก่เด็กและผู้ใหญ่ทุกคน ควรล้างมือด้วยน้ำและสบู่ เพราะแอลกอฮอลล์เจลจะฆ่าเชื้อเอนเตอโรไวรัสไม่ได้
            ใน ช่วงที่มีการระบาด ไม่ควรนำเด็กไปในที่ที่มีเด็กอื่นอยู่รวมกันจำนวนมาก เพราะจะมีโอกาสรับเชื้อได้เนื่องจากมีเด็กที่เป็นโรคนี้และแพร่เชื้อได้โดย ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก ที่อาจไปอยู่รวมกัน

การป้องกันการระบาดในสถานรับดูแลเด็กหรือโรงเรียนชั้นอนุบาล
            1. มีการตรวจคัดกรองเด็กป่วย ได้แก่ เด็กที่มีไข้ หรือเด็กที่มีผื่น หรือมีแผลในปาก ไม่ให้เข้าเรียน ทั้งนี้เพราะมีผู้ป่วยบางคนที่มีอาการน้อยมาก หรือมีบางคนที่มีอาการไข้แต่ไม่มีผื่น ควรต้องจัดหาเครื่องมือวัดอุณหภูมิ (ปรอท) ไว้ให้พร้อมเพื่อใช้ในกรณีที่สงสัยว่าเด็กจะมีไข้ และมีครูหรือพยาบาลตรวจรับเด็กก่อนเข้าเรียนทุกวัน
            2. ควรมีมาตรการในการทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน หรือเมื่อมีการเปื้อนน้ำลาย น้ำมูกหรือสิ่งสกปรก
            3. มีมาตรการเคร่งครัดในการล้างมือ ให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับที่ดูแลสัมผัสเด็กเล็ก โดยเฉพาะในทุกครั้งที่อาจสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระ การใช้แอลกอฮอลล์เจลล้างมือ ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้
            4. หากมีการระบาดเกิดขึ้นหลายราย ควรพิจารณาปิดชั้นเรียนนั้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หรือหากมีการระบาดเกิดขึ้นในหลายชั้นเรียน ควรปิดโรงเรียนด้วย เพื่อหยุดการระบาด
มือ-เท้า-ปาก


มือ-เท้า-ปาก

ฟันผุ

ฟันผุ

ฟันของคนเราปรกติจะมีการ demineralization เป็นการที่แร่ฐาตุของผิวฟันถูกขับออก และมี remineralizatio หรือขบวนการเติมแร่ฐาตุให้กับผิวฟันโดยแร่ฐาตุที่อยู่ในน้ำลาย หากขบวนการเติมแร่มากกว่าขบวนการขับออกฟันฟันจะปรกติ
เมื่อขบวนการละลายแร่ฐาตุมากกว่าขบวนการสร้างก็จะเกิดฟันผุ ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อ Streptococcus mutan และ Lactobasillus ย่อยอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต์ทำให้เกิดกรดซึ่งจะทำลายผิวเคลือบฟัน ในรายที่เริมเป็นจะเห็นเป็นสีขาวขุ่นเล็กๆที่ผิวฟัน ในระยะนี้หากตรวจพบ และรักษาสุขอนามัยก็จะทำให้ผิวฟันกลับปกติ หากยังมาการละลายของผิวฟันต่อไปอีกก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลซึ่งหากยังไม่เป็ร ูก็ยังสามารถกลับคืนสู่ปรกติได้ หากกลายเป็นรูก็จะคงรูปตลอด และหากไม่รักษาก็จะมีอาการปวดฟันจนกระทั่งฟันร่วง

ฟันผุต้องมีอาการปวดฟันหรือไม่

หากฟันผุเริ่มเป็นและมีการละลายผิวฟันชั้น Enamel หรือชั้น Dentin จะไม่มีอาการปวดจะเห็นเป็นรอยขาวหรืออาจจะออกสีน้ำตาล เมื่อฟันผุลงลึกถึงชั้น Pulp ซึ่งกดดูจะนิ่ม ถึงตอนนั้นจะมีการเสียวฟันเวลารับประทานของร้อนหรือเย็น และหากลามไปถึงรากฟันก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน บางรายจะมาด้วยมีกลิ่นปาก

สาเหตุของฟันผุมีอะไรบ้าง

ปัจจัยที่จะทำให้เกิดฟันผุจะมีอยู่ 4 สาเหตุ จากฟัน แบคทีเรีย อาหาร และระยะเวลา
สาเหตุจากฟัน
มีโรคฟันบางประเภทที่มีเกลือแร่ที่เนื้อฟันน้อยทำให้ เกิดฟันผุได้ง่าย นอกจากนั้นผู้ที่มีร่องบนฟันมากหรือลึกก็จะเกิดฟันผุได้ง่าย และผู้ที่เป็นโรคเหงือกมีเหงือกร่นทำให้่วน Dentinสัมผัสสภาพในฟัน Dentin จะมีเกลือแร่เป็นองค์ประกอบน้อยกว่าผิวฟันซึ่งในสภาพปากปกติก็ทำให้เกิดฟัน ผุได้(ผิวฟันปรกติจะต้องมีpH<5.5จึงจะเกิดฟันผุ)
เชื้อแบคทีเรีย
ผู้ที่มีเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวข้องต้นหากมีมากที่คราบหินปูนหรือที่ร่องฟันมากก็จะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย
อาหาร
อาหารแป้ง น้ำตาลจะถูกย่อยโดยเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดกรดซึ่งหากฟันสัมผัสกรดเป็นเวลา นาน หรือบ่อย ผิวฟันก็จะสึกและผุ ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลให้บ่อยมาก
ระยะเวลาที่ฟันเจอกับกรด
ปรกติเมื่อทายอาหารแป้งและมีเศษอาหารเหลือ เชื้อแบคทีเรียจะย่อยสลายทำให้เกิดกรด และมีการละลายของผิวฟัน แต่ปริมาณน้ำลาย และเกลือแร่ในน้ำลายจะลดความเป็นกรดและเติมเกลือแร่ให้กับฟัน ดังนั้นหากรับประทานอาหารบ่อย หรือน้ำลายน้อยก็จะทำให้ฟันอยู่ในสภาพเป็นกรดนาน ฟันจะเสี่ยงต่อฟันผุได้
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆได้แก่
  • โรคประจำตัวที่ทำให้น้ำลายออกน้อยเช่น โรคเบาหวาน โรคเบาจืด
  • ยาบางชนิดที่ทำให้น้ำลายลดลง เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้โรคซึมเศร้า
  • การสูบบุหรี่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดทั้งฟันผุ และโรคเหงือกอักเสบ

เราจะทราบได้อย่างไรว่ามีฟันผุ

เนื่องจากฟันผุในระยะแรกมักจะไม่มีอาการอะไร การที่จะรู้อาจจะต้องส่องกระจกหากพบเป็นรอยสีน้ำตาลแสดงว่ามีฟันผุ หรืออาจจะให้ทันตแพทย์ตรวจประจำปีซึ่งจะใช้เครื่องมือเหมือตะขอเกี่ยวดู ในบางรายอาจจะต้อง X-ray ฟันจึงจะทราบ
สำหรับท่านที่มีกลิ่นปากไม่หาย ท่านจะต้องไปตรวจฟันและเหงือก

การป้องกันฟันผุ

  • เรื่องสุขอนามัยในช่องปาก ได้แก่การแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และการใช้ไหมขัดฟัน 
  • จะต้องปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารได้การลดอาหารหวานหรือ จำพวกแป้ง จะต้องลดความถี่ของการรับประทานของหวานลง นอกจากนั้นอาหารหวานที่ติดฟัน เช่นลูกผม หรือผลไม้แห้งจะติดฟันได้นานซึ่งจะทำให้ฟันอยู่ในสภาวะที่เป็นกรดนาน
  • สำหรับเด็กไม่ควรจะให้อมหัวนมจะหลับเพราะจะทำให้เกิดฟันผุ
  • การอมหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของ Xylitol จะลดการเกิดฟันผุ เนื่องจากสารนี้จะยับยั้งการใช้น้ำตาลของเชื้อแบคทีเรีย
  • การให้แคลเซี่ยมและฟลูออไรด์ก็จะลดการเกิดฟันผุ

การรักษาฟันผุ

ขึ้นกับความลึกและโครงสร้างของฟันถูกทำลายไปมากน้อยแค่ไหนซึ่งขึ้นกับทันตแพทย์จะพิจารณา

โรคตับ

โรคตับ อวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของร่าง กายเรา อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา มีหน้าที่ในการผลิตน้ำดี เพื่อไปย่อยอาหารประเภทไขมัน และกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกายของเรา นอกจากนี้ยังช่วยผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดได้อีกด้วย ส่วนโรคเกี่ยวกับตับนั้นมีหลายชนิด ทั้งตับอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือจากสารพิษ กรรมพันธุ์ หรือภาวะภูมิแพ้ตนเอง ตับแข็งนั้นเกิดจากการสะสมของเนื้อเยื่อแข็งที่ทดแทนเซลล์ตับที่ตายไปแล้ว โดยมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส ภาวะพิษสุราเรื้อรัง หรือการที่ได้รับสารพิษต่างๆ ผู้ป่วยโรคตับนั้นมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน กว่าจะตรวจพบว่าเป็นโรคตับก็สายไปแล้ว


อาการของผู้ป่วยโรคตับ 
  ผู้ป่วย โรคตับแข็ง ในระยะแรก มักจะไม่มีอาการที่ เห็นได้ชัดเจน อาจจะมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่ามีความผิดปกติใดๆที่ตับ แต่พอเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเกิดอาการของตับแข็ง คือ ผู้ป่วยก็จะมีอาการอ่อนเพลีย ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง ท้องโตขึ้น ขาบวม คลื่นไส้ เบื่ออาหารและทำให้น้ำหนักลด อาจจะรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อยและมีอาการคันตามตัว 

โรคตับ
โรคตับ 

สำหรับในผู้หญิงที่เป็น โรคตับแข็ง อาจจะมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรืออาจจะมีเสียงแหบแห้งคล้ายผู้ชาย
สำหรับ ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ อัณฑะฝ่อตัว บางคนอาจจะสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอกหรือหน้าท้อง เป็นต้น
โรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคตับ 
1)  ตัวเหลือง ตาเหลือง เพราะตับไม่สามารถที่จะขับน้ำดีออกมาได้ 
2)   มีอาการคันตามร่างกาย เพราะมีน้ำดีสะสมอยู่ตามบริเวณผิวหนัง 
3)  เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ 
4)  ทำให้มีอาการบวมหลังเท้า แขนขา และท้อง เพราะตับนั้นจะไม่สามารถสร้างไข่ขาว (หรือโปรตีนในเลือด) ได้ 
5)   ทำให้เลือดออกได้ง่าย เพราะตับจะไม่สามารถสร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้ 
6)  อาจจะสูญเสียความสามารถเกี่ยวกับความจำหรือสติ เพราะจะเกิดการคั่งของของเสีย 
7)  ผู้ป่วยจะไวต่อยามากขึ้น ดังนั้นการให้ยากับผู้ป่วยโรคตับแข็ง จะต้องระวังการเกิดยาเกินขนาด เพราะตับจะไม่สามารถทำลายยาได้เลย แม้แต่การให้ยาให้ขนาดปกตินั้นก็ต้องระวังด้วย 
8)  ผู้ป่วยจะอาเจียนเป็นเลือด เพราะตับแข็งทำให้ความดันในตับสูง จนทำให้หลอดเลือดดำในหลอดอาหารนั้นมีความดันสูง และถ้าหากมีความดันสูงมาก อาจจะทำให้หลอดเลือดดำแตกได้ 
9)  สามารถติดเชื้อได้ง่าย เพราะมีภูมิคุ้มกันลดลง อาจจะเป็นท้องมานหรือไตวายได้ 
 สัญญาณบ่งบอกการเป็นโรคตับ
 โรคตับ
โรคตับ

1)  มีอาการเครียด ขี้หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียวและตกใจง่าย
2)  มีอาการปวดแน่นชายโครงเป็นบางครั้ง และมีอาการตึงเกร็งที่กล้ามเนื้อช่องท้องหรือปวดท้องน้อยบ่อย และรู้สึกร้อนวูบวาบที่ช่องอก
3)  มักจะนอนหลับยาก มักจะง่วงนอนตอนกลางวัน และมีอาการอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง
4)  จะรู้สึกว่ามีอะไรจุกอยู่ในคอหอย กลืนก็ไม่ลงหรือจะคายก็ไม่ออก และทำให้เบื่ออาหาร มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย
5)  มีผิวหน้าซีดเหลือง จะไม่มีเลือดฝาดและมีฝ้าบนใบหน้า
6)   บริเวณมุมปากและริมฝีปากจะหมองคล้ำ ส่วนลิ้นจะออกสีม่วงคล้ำ และขอบลิ้นจะมีรอยกดทับของฟัน
7)  มีอาการเจ็บหรือคัดเต้านม โดยจะเป็นหนักขึ้นช่วงก่อนจะมีประจำเดือนสำหรับผู้หญิง และสำหรับผู้ชายจะปวดหน่วงอัณฑะ
8)  จะรู้สึกหายใจไม่เต็มท้อง จึงต้องถอนหายใจบ่อยๆ
9)  มีอาการท้องร่วงหรืออุจจาระหยาบและไม่จับตัวเป็นก้อน
สาเหตุของการเกิดโรคตับมีหลายประการและที่พบบ่อย คือ 
1) การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป ติดต่อ กันเป็นเวลานาน เพราะการที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ๆ จะทำให้เกิดความผิดปกติในการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ จึงทำให้เกิดภาวะตับอักเสบและเรื้อรังได้จนกลายเป็นโรคตับแข็ง และผู้หญิงจะเป็นโรคตับแข็งได้มากกว่าผู้ชาย
2)  การเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี จนทำให้ตับอักเสบเป็นเวลานานหลายปี ก่อนที่จะกลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด ไวรัสตับอักเสบบีและซีเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันทางเลือดและการมีเพศ สัมพันธ์ การติดเชื้อเป็นพาหะนั้นมักเกิดโดยไม่รู้ตัว
3) เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนหรือไขมันในเลือดสูง
4) จากการรับประทานยาบางชนิด และทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น ยาแก้ปวด     ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน ยารักษาวัณโรคบางชนิด
5) โรคทางพันธุกรรมบางโรคที่ทำให้เกิดตับแข็ง เช่น โรคทาลัสซีเมีย
6)  ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง จะทำให้เส้นเลือดคั่งที่ตับ และเลือดไหลเวียนในตับน้อยลง จึงทำให้เนื้อตับขาดภาวะออกซิเจนจนตายลง
7)  พยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในเลือดอาจจะทำให้เกิดตับแข็ง
  ผู้ป่วยโรคตับแข็งมักจะปรากฏ อาการเริ่มแรกนั้นในช่วงอายุระหว่าง 40 - 60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยก็ มักจะมีสาเหตุจากตับอักเสบจากเชื้อไวรัส และมีอาการค่อนข้างรุนแรง
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคตับ 
1) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ถ้าหากตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ห้ามดื่มโดยเด็ดขาด 
2) ให้ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสบี ซึ่งนิยมฉีดกันตั้งแต่แรกเกิด 
3) ต้องระมัดระวังการใช้ยาที่มีพิษต่อตับ 
 การปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคตับ
 โรคตับ
  โรคตับ    

เนื่อง จากตับนั้นมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง รวมทั้งสร้างการทำลายและเผาผลาญสารต่างๆ ในร่างกายรวมทั้งอาหารด้วย และเมื่อผู้ป่วยมีตับแข็ง ตับจะสูญเสียหรืออาจจะมีความบกพร่องในการทำงาน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้ป่วยและญาติที่จะต้องช่วยดูแลในการปฏิบัติของ ผู้ป่วยอย่างเหมาะสม ดังนี้
1) การรับประทานอาหาร สำหรับผู้ป่วยตับแข็งในระยะที่ ตับยังสามารถทำงานได้ดี และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ และควรรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนประมาณวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งประมาณ 60 กรัมต่อวัน และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับจะทำหน้าที่ย่อยไขมันได้น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์  โดยใช้ไขมันพืชแทน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ เพราะในอาหารมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบและอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการบวม อาการท้องมานเลวลง โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้แต่ไม่เกินวันละ 2 กรัม เทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณ เศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวัน
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ชื้น เช่น พริกป่น ถั่วป่น เพราะเป็นแหล่งของสารอะฟลาท็อกซิน จะทำให้ตับทำงานมากขึ้น และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับมากขึ้น
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สะอาด  อาหารที่เก็บค้างคืน อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ลวกและย่าง
2) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  สำหรับผู้ป่วยที่มีตับแข็งแล้ว ควรหลีกจะเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุราทุกชนิด เพราะอาจจะทำให้โรคตับแย่ลง นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการแตกของเส้นเลือดโป่งพอง ในหลอดอาหารและกระเพาะอาหารอีกด้วย ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคตับแข็ง
3) ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ป่วยตับแข็ง ที่ตับยังสามารถทำงานได้ดีก็สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเพียงแต่ไม่หักโหม จนเกินไป และควรพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ในกรณีที่ตับทำงานไม่ปกติแล้วควรออกกำลังกายเบาๆ เช่น การวิ่งเหยาะๆ หรือการเดินเร็ว ถ้าหากรู้สึกเพลียก็ควรพัก และที่สำคัญควรต้องระวังการเกิดอุบัติเหตุ เพราะผู้ป่วยตับแข็งอาจจะมีเกล็ดเลือดต่ำและมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก
4) การใช้ยาและสารเคมี ผู้ป่วยตับ แข็งควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานยาถ้าไม่จำเป็นและยาสมุนไพรต่างๆ เพราะยาหลายชนิดจะถูกทำลายที่ตับ และยาหลายชนิดเองก็อาจจะทำให้เกิดตับอักเสบ ดังนั้นการใช้ยาควรใช้เมื่อมีข้อบ่งชี้และภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
5) การฉีดวัคซีน ผู้ป่วยตับแข็งนั้นควรตรวจเลือดดูว่าเคยมีการติดเชื้อไวรัสบีและไวรัสเอ หรือไม่ ถ้าไม่ควรรับการฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะถ้าเกิดว่าติดเชื้อตับอักเสบฉับพลันจากไวรัสเอ และไวรัสบีในผู้ป่วยตับแข็ง จะมีโอกาสในการเกิดตับวายและอาจเสียชีวิตได้สูง
6) การเฝ้าระวัง  ผู้ป่วยตับแข็งควรจะติดตามการดูแลรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด และควรจะมีการเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งตับ โดยวิธีการเจาะเลือดตรวจดูค่า AFP ซึ่งจะเป็น marker ของมะเร็งตับชนิดหนึ่งและการตรวจอัลตร้าซาวด์ดูตับทุก 6 เดือน และในกรณีที่ผู้ป่วยตับแข็งต้องได้รับการตรวจหรือการทำหัตถการต่างๆ เช่น การถอนฟัน ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะจะมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติที่ต้องเตรียมการผู้ป่วยเป็นพิเศษ
7) ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตตามอน ยังเป็นยาที่ปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ป่วยตับแข็งจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ มากกว่าคนปกติทั่วไป จึงควรรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตตามอนได้ไม่เกิน 5 เม็ดต่อวัน และแนะนำให้รับประทาน ขนาด 500 มิลลิกรัมครั้งละ 1 เม็ด แต่จะรับประทานซ้ำได้ 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง และในส่วนของยารักษาโรคตับที่แพทย์จัดให้นั้นควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอ และยาบางชนิดเช่น ยาป้องกันเส้นเลือดโปร่งพองแตก แต่ถ้ารับประทานไม่สม่ำเสมอก็อาจจะมีผลเสียมากกว่า
8) รับประทานวิตามิน ผู้ป่วยตับแข็งนั้นมักจะขาด วิตามินหลายชนิด ดังนั้นควรจะรับประทานวิตามินเสริมร่วมด้วย ถึงอย่างไรก็ตามไม่ควรจะรับประทานวิตามินที่ละลายในไขมันเอง เช่น วิตามินเอ วิตามินอี เพราะวิตามินที่ละลายในไขมันนั้นถ้ารับประทานมากจนเกินไปก็จะมีการสะสมที่ ตับ และอาจจะมีผลเสียต่อตับเอง และนอกจากนี้ถ้าผู้ป่วยไม่ได้ขาดธาตุเหล็กก็ไม่ควรจะรับประทานเหล็กเสริม เข้าไป เพราะเหล็กจะทำให้เกิดการสร้างผังผืดในตับมากขึ้น

โรคเบาหวาน

เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุม ของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โรค เบาหวานนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆ โดยเปรียบร่างกายเราเป็นระบบปั๊มน้ำ และน้ำในระบบก็คือเลือดของเราโดยปรกติแล้วปั๊มน้ำก็จะทำงานอย่างปรกติ แต่เมื่อมีการทำให้น้ำในระบบเกิดความข้นขึ้น(ก็คือการเติมน้ำตาลลงไปในน้ำ) น้ำในระบบก็จะมีความหนืดขึ้น ปั๊ม(หัวใจ)ก็จะต้องทำงานหนักขึ้น ท่อน้ำ(หลอดเลือด)ก็ต้องรับแรงดันที่มากขึ้น ดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆเพิ่ม ขึ้นได้
ปี 2550 พบผู้ป่วยเบาหวานแล้วถึง 246 ล้านคน โดยผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย
เบา หวาน เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นทุกปีจนมีการกำหนดให้วันที่ 14 พฤษจิกายน ของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลกเพื่อให้มีการรณรงค์ป้องกันให้เป็นที่แพร่หลาย ขึ้น

อินซูลิน กับ เบาหวาน

อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่ในการนำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อใช้ใน การสร้างพลังงานและสร้างเซลล์ต่างๆ โดยปรกติแล้วเมื่อมีน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดตับอ่อนก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่ง อินซูลิน แล้วอินซูลินก็จะเข้าจับน้ำตาลเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งร่างกายมี อินซูลิน ไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

ประเภทของ เบาหวาน

เบาหวาน สามารถแบ่งออกได้เป็น2ชนิด ได้แก่ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างได้น้อยมาก ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน(autoimmune) ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน(ketones) สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้หมดสติถึงตายได้
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็น เบาหวาน ที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะ น้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย มีลูกดก อีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว โดยอาจจะใช้ยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้ เบาหวาน ยังมีสาเหตุมาจากการใช้ยาด้วย เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด

นาฏศิลป์ไทย

ความรู้พื้นฐานทางนาฏศิลป์ไทย


ความนำ 
นาฏศิลป์ไทย  เป็นสาขาวิชาหนึ่งที่รวมเอาองค์ความรู้ทั้งทางศาสตร์และศิลป์โดยพื้นฐานของความคิดอย่างชาญฉลาดของศิลปินรุ่นเก่า  เป็นการบูรณาการองค์ความรู้จากภูมิปัญญาไทยที่งดงาม  ทั้งวัฒนธรรมการแต่งกาย  ภาษาและสัญลักษณ์ของการสื่อสารของมนุษย์  ศิลปะวิจิตรศิลป์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาทางช่างไทยแต่โบราณ  มาไว้อยู่ที่เดียวกัน  ทำให้ผู้ชมเกิดสุนทรียภาพในการชมและประทับใจตราตรึงทำให้มีการสืบทอดมาแต่อดีตจนปัจจุบัน
การศึกษาองค์ความรู้พื้นฐานทางการแสดงนาฏศิลป์ไทยจะทำให้ผู้เรียนมีความกระจ่างมีความลึกซึ้ง  เกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียนนาฏศิลป์ไทย  พร้อมที่จะอนุรักษ์และเผยแพร่เพื่อให้ศาสตร์ดังกล่าวนี้ดำรงอยู่เป็นเอกลักษณ์ไทยสืบไป  ดังนั้น  การศึกษารูปแบบของนาฏศิลป์ไทย  จะต้องเข้าใจแหล่งที่มาและรูปแบบลักษณะ กล่าวคือ  ต้องเข้าในความหมายของนาฏศิลป์   ที่มาของนาฏศิลป์ไทย  องค์ประกอบของการแสดงนาฏศิลป์ไทย  และประเภทของการแสดงนาฏศิลป์ไทย

ความหมายของนาฏศิลป์ 
ความหมายของรูปศัพท์ของคำว่านาฏศิลป์  มาจากคำ ๒  คำที่รวมอยู่ด้วยกัน คือนาฏ,   ศิลปะ   ดังรายละเอียดกล่าวคือ
นาฏ  ความหมายโดยภาพรวมของคำว่า นาฏ ที่น่าสนใจคือ
                นาฏย  ความหมาย  ตามพจนานุกรมไทยฉบับทันสมัย(๒๕๔๓ : ๒๘๕) หมายถึง เกี่ยวกับการฟ้อนรำ, เกี่ยวกับการแสดงละคร
                นาฏ ความหมายตามพจนานุกรมไทยฉบับทันสมัย (๒๕๔๓ : ๒๘๕) หมายถึง  การเคลื่อนไหวอวัยวะ, นางละคร การฟ้อนรำ หรือ ความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ
ศิลปะ  เป็นคำภาษาสันสกฤต (ส.ศิลปะ; ป.สิปุป ว่า มีฝีมืออย่างยอดเยี่ยม)ซึ่งหมายถึง การแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นอย่างงดงามน่าพึงชม  ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ  ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Arts”( อมรา  กล่ำเจริญ,  ๒๕๔๒ : ๑)
ดังนั้นเมื่อประมวลทั้งสองคำมารวมเป็นคำว่า“นาฏศิลป์” ที่นักวิชาการให้ความหมายไว้น่าสนใจ  คือ
นาฏศิลป์  หมายถึง  ศิลปะการร้องรำทำเพลงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์โดยประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตและมีแบบแผน  ให้ความรู้  ความบันเทิง  ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมความรุ่งเรืองของชาติได้เป็นอย่างดี (สุมิตร  เทพวงศ์, ๒๕๔๘ : ๒)
นาฏศิลป์  หมายถึง  การร่ายรำในสิ่งที่มนุษย์เราได้ปรุงแต่งจากธรรมชาติให้สวยสดงดงามขึ้น แต่ทั้งนี้มิได้หมายถึงแต่การร่ายรำเพียงอย่างเดียว  จะต้องมีดนตรีเป็นองค์ประกอบไปด้วย  จึงจะช่วยให้สมบูรณ์แบบตามหลักวิชานาฏศิลป์ (อาคม  สายาคม, ๒๕๔๕ : ๑๕)
นาฏศิลป์  เป็นคำสมาส ระหว่างคำว่า นาฏ กับคำว่า ศิลป์   คำว่านาฏ  หมายถึงการฟ้อนรำ  การแสดงละคร   ดังนั้นคำว่า  นาฏศิลป์  จึงหมายถึง  การฟ้อนรำที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นให้สวยงาม  โดยอาศัยธรรมชาติเป็นแบบอย่าง (ลัดดา  พนัสนอก, ๒๕๔๒ : ๒)
นาฏศิลป์ หรือนาฏยศิลป์  หมายถึง  ศิลปะการฟ้อนรำ ทั้งที่เป็นระบำ รำ  เต้น และอื่น ๆ รวมทั้งละครรำ  โขน  หนังใหญ่ ฯลฯ  ปัจจุบันมักมีคนคิดชื่อใหม่ให้ดูทันสมัยคือ  นาฏกรรม  สังคีตศิลป์  วิพิธทัศนา  และศิลปะการแสดง  ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกันเพราะเป็นคำที่ครอบคลุมศิลปะแห่งการร้อง  การรำ  และการบรรเลงดนตรี (สุรพล  วิรุฬห์รักษ์, ๒๕๔๓ : ๑๒)
ดังนั้นความหมายของนาฏศิลป์กล่าวโดยสรุป จึงหมายถึง  ศิลปะการร้องรำทำเพลงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ทั้งที่เป็นระบำ  รำ  เต้น  และอื่น ๆ รวมทั้งละครรำ  โขน  หนังใหญ่ ฯลฯ  โดยประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตและมีแบบแผนที่สวยงาม  ให้ความรู้  ความบันเทิงที่ต้องมีดนตรีเป็นองค์ประกอบไปด้วย

ที่มาของนาฏศิลป์ไทย     
ที่มาของนาฏศิลป์ไทยเข้าใจว่าเกิดจากสภาพความเป็นอยู่โดยธรรมชาติของมนุษย์โลกที่มีความสงบสุข  มีความอุดมสมบูรณ์ในทางโภชนาหาร  มีความพร้อมในการแสดงความยินดี  จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของการแสดงอาการที่บ่งบอกถึงความกำหนัดรู้  ดังนั้นเมื่อประมวลที่นักวิชาการเทียบอ้างตามแนวคิดและทฤษฎี  จึงพบว่าที่มาของนาฏศิลป์ไทยเกิดจากแหล่ง ๓  แหล่ง  คือ  เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ   เกิดจากการเซ่นสรวงบูชา  และเกิดจากการรับอารยะธรรมของประเทศอินเดีย  ดังนี้
๑.  เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ    หมายถึง   เกิดตามพัฒนาการของความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มชน  ซึ่งพอประมวลความแบ่งเป็นขั้น  ได้ ๓  ขั้น  ดังนี้
ขั้นต้น  เกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้าอารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้ ก็แสดงออกมาให้เห็นปรากฏ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมือ กระโดดโลดเต้น เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้ ดิ้นรน
ขั้นต่อมา  เมื่อคนรู้ความหมายของกิริยาท่าทางมากขึ้น ก็ใช้กิริยาเหล่านั้นเป็นภาษาสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นรู้ความรู้สึกและความประสงค์ เช่น ต้องการแสดงความเสน่หาก็ยิ้มแย้ม กรุ้มกริ่มชม้อยชม้ายชายตา หรือโกรธเคืองก็ทำหน้าตาถมึงทึง กระทืบ กระแทก  เป็นต้น
ต่อมาอีกขั้นหนึ่งนั้น  เมื่อเกิดปรากฏการณ์ตามที่กล่าวในขั้นที่ ๑ และขั้นที่ ๒  แล้วมีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทาง ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง ติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อนรำให้เห็นงาม จนเป็นที่ต้องตาติดใจคน จนเกิดเป็นวิวัฒนาการของนาฏศิลป์ที่สวยงามตามที่เห็นในปัจจุบัน
                ๒.  เกิดจากการเซ่นสรวงบูชา  หมายถึง  กระบวนการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของกลุ่มชน  ซึ่งพบว่าการเซ่นสรวงบูชา มนุษย์แต่โบราณมามีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการบูชา เซ่นสรวง เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา หรือขอให้ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป การบูชา  มีวิธีการตามแต่จะยึดถือมักถวายสิ่งที่ตนเห็นว่าดีหรือที่ตนพอใจ เช่น ข้าวปลาอาหาร  ขนมหวาน ผลไม้  ดอกไม้ จนถึง การขับร้อง ฟ้อนรำ เพื่อให้สิ่งที่ตนเคารพบูชานั้นพอใจ ต่อมามีการฟ้อนรำบำเรอกษัตริย์ด้วย ถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ มีการฟ้อนรำรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรู ต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมา กลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป
๓.  การรับอารยะธรรมของอินเดีย  หมายถึง  อิทธิพลของประเทศเพื่อนบ้านจากประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ยาวนานว่า เมื่อไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ๆ นั้น มีชนชาติมอญ และชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนแล้ว ชาติทั้งสองนั้นได้รับอารยะธรรมของอินเดียไว้มากมายเป็นเวลานาน เมื่อไทยมาอยู่ในระหว่างชนชาติทั้งสองนี้ ก็มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด ไทยจึงพลอยได้รับอารยะธรรมอินเดียไว้หลายด้าน เช่น ภาษา ประเพณี ตลอดจนศิลปะการแสดง ได้แก่ ระบำ ละครและโขน ซึ่งเป็นนาฏศิลป์มาตรฐานที่สวยงามดังปรากฏให้เห็นนี้เอง
นอกจากนี้แล้วการสร้างนาฏศิลป์ไทยของเรานี้อาจด้วยสาเหตุหลายประการ  เช่น
๑. จัดทำขึ้นเพื่อการสื่อสาร หมายความถึง  การแสดงนั้นอาจบ่งบอกชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ที่ดี  ทั้งทางด้านการแต่งกาย  ภาษา  ท่วงทีที่แช่มช้อย  นอกจากนี้แล้วในการสื่อสารอีกทางนั้นคือนาฏศิลป์ได้พัฒนาจากรูปลักษณ์ที่ง่าย และเป็นส่วนประกอบของคำพูดหรือวรรณศิลป์ ไปสู่การสร้างภาษาของตนเองขึ้นที่เรียกว่า "ภาษาท่ารำ" โดยกำหนดกันในกลุ่มชนที่ใช้นาฏศิลป์นั้นๆ ว่าท่าใดมีความหมายอย่างไร  เป็นต้น
๒. เพื่อประกอบพิธีกรรม   ดังที่ได้กล่าวอ้างเรื่องการเซ่นสรวงไปแล้วในเบื้องต้น  ว่ากระบวนทัศน์ในเรื่องการฟ้อนรำนั้นกระแสสำคัญอีกกระแสหนึ่ง  คือเรื่องความเชื่อ  ความศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น  นอกจากนี้แล้วอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของคนไทยอีกประการนั้นคือ  การสำนึกกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ  เช่น  พ่อแม่  ครูอาจารย์  หรือบรรพชนที่ควรเคารพ  อาจมีการจัดกิจกรรมขึ้นแล้วมีการร่วมแสดงความยินดีให้ปรากฏนักนาฏศิลป์หรือ ศิลปินที่มีความชำนาญการจะประดิษฐ์รูปแบบการแสดงเข้าร่วมเพื่อความบันเทิง และเพื่อแสดงออกซึ่งความรักและเคารพในโอกาสพิธีกรรมต่างๆ ก็ได้
๓. เพื่องานพิธีการที่สำคัญ   กล่าวคือเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเยี่ยมเยือน  ทั้งนี้เราจะเห็นว่าในประวัติของชุดการแสดง ๆ  ชุด  เช่น ระบำกฤดาภินิหาร  การเต้นรองเง็ง  หรืออื่นๆ  การจัดชุดการแสดงส่วนใหญ่นั้นจัดเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ  เพื่อบ่งบอกความยิ่งใหญ่ของความเป็นอารยะชนคนไทย  ที่มีความสงบสุขมาเป็นเวลาหลายปี  แล้วเรามีความเป็นเอกลักษณ์ภายใต้การปกครองที่ดีงามมาแต่อดีต  ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมการแสดงในครั้งนี้อาจมีอย่างหลากหลาย เพื่อเป็นสิริมงคลด้วยก็ได้
๔. เพื่อความบันเทิงและการสังสรรค์ ตามนัยที่กล่าวนี้พบว่าในเทศกาลต่าง ๆ ทั้งที่เป็นประเพณีของคนไทยมีมากมาย  เช่น  งานปีใหม่  ตรุษสงกรานต์  ลอยกระทง วันสาร์ท เป็นต้น เมื่อรวมความแล้วเราพบว่ากิจกรรมที่หลากหลายนี้มีบางส่วนปรากฏเป็นความบันเทิงมีความสนุกสนานรื่นเริง  เช่น  อาจมีการรำวงของหนุ่มสาว  หรือความบันเทิงอื่น ๆ บนเวทีการแสดง  นอกจากนี้อาจรวมถึงการออกกำลังกายในสถานการณ์ต่าง ๆ  เราพบว่าปัจจุบันนี้จากประสบการณ์จัดกิจกรรมมักเกิดเป็นรูปแบบการแสดงที่สวยงามตามมาด้วยเช่นเดียวกัน
๕.  เพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่ นาฏศิลป์เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชุมชน ในชุมชนหนึ่งๆ มักมีการสืบทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมทางนาฎศิลป์ของตนเอาไว้มิให้สูญหาย มีการสอนมีการแสดง และเผยแพร่นาฏศิลป์ไทยให้ท้องถิ่นอื่น หรือนำไปเผยแพร่ในต่างแดน

องค์ประกอบของการแสดงนาฏศิลป์ไทย
องค์ประกอบที่ทำให้นาฏศิลป์ไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความสวยงามโดดเด่น และบ่งบอกถึงความมีอารยะธรรมทางด้านศิลปะ มาแต่อดีตกาล   คือ  ลีลาท่ารำ  การขับร้องเพลงไทย  ดนตรีไทย  และการแต่งกาย  ดังนี้
๑.  ลีลาท่ารำ  หมายถึง  กระบวนการเคลื่อนไหวของอวัยวะร่างกายของนักแสดงสื่อออกมาในลักษณะต่าง ๆ เช่น  สื่อแทนคำพูด  แทนอากัปกิริยาที่กำลังปฏิบัติอยู่  หรือสื่อถึงกิจกรรมที่เป็นเป้าประสงค์สำหรับการทำงาน  เป็นต้น  ท่ารำที่เข้ามามีบทบาทต่อการแสดงนั้น  มาจากหลายแหล่ง  เช่น   นาฏยศัพท์   ภาษาท่าทางนาฏศิลป์   และการตีบท  กล่าวคือ
                  ๑.๑  นาฏยศัพท์  หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เรียกท่ารำทางนาฏศิลป์ หรือการละคร การฟ้อนรำ การสร้างสรรค์ท่ารำที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ไทย ผู้แสดงจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการร่ายรำอันจะส่งผลถึงความประณีตของท่วงท่า ที่สร้างสรรค์ของศิลปินที่งดงามลงตัวนาฏยศัพท์ที่บรมครูผู้เชี่ยวชาญได้ สร้างสรรค์ไว้พอจะรวบรวมได้คือ นามศัพท์ กิริยาศัพท์ และนาฏยศัพท์เบ็ดเตล็ด
      ๑.๒  ภาษาท่าทางนาฏศิลป์  หมายถึง  ภาษาที่ใช้สำหรับการสื่อสารของนักแสดงเพื่อให้เข้าใจโดยใช้ท่าทางนาฏศิลป์เป็นตัวสื่อไม่ใช้คำพูด  เป็นอวจนะภาษาอย่างหนึ่ง  หรืออีกนัยหนึ่งนั้นคือภาษาใบ้  ส่วนใหญ่จะใช้อากัปกิริยาของอวัยวะร่างกายเป็นตัวสื่อสารเพื่อบอกอาการความต้องการให้ผู้รับสารเข้าใจในการสื่อสาร   ภาษาท่าทางนาฏศิลป์มีปรากฏอยู่ในการแสดงละคร  หรือบทระบำของละครไทยบางเพลงก็มี
                กิริยาท่าทางที่ปรากฏออกมาทางอวัยวะของร่างกาย  สีหน้าและอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นมา  สามารถจำแนกได้เป็น  ๓  ประเภท  คือ  ท่าซึ่งใช้แทนคำพูด  ท่าซึ่งเป็นอิริยาบถและกิริยาอาการ  และท่าซึ่งแสดงถึงอารมณ์ภายใน
                      ๑.๓  การตีบท  หมายถึง  การใส่ท่าทางตามบทร้องหรือบทเพลงเพื่อสื่อความหมายให้ผู้ชมเข้าใจตามความหมายและอารมณ์ของเพลง โดยทั่วไปเพลงที่จะนำมาประดิษฐ์ท่ารำจะต้องมี ๒ ลักษณะ  คือเพลงบรรเลง  หมายถึง  เพลงที่มีแต่ทำนองและจังหวะ  ไม่มีเนื้อร้องประกอบ  และเพลงมีบทร้อง  หมายถึง  เพลงที่มีทั้งทำนอง จังหวะ  และเนื้อเพลงบรรยายอิริยาบทของตัวละครประกอบด้วย  กรณีที่เพลงเป็นเพลงบรรเลงนั้นนักนาฏยประดิษฐ์ก็จะลดภาระของการใส่ท่ารำลง  แต่ถ้าหากว่าเป็นเพลงที่ต้องใช้บทร้องประกอบ  เช่น  เพลงแม่บท  เพลงกฤดาภินิหาร  หรือจะเป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ในโอกาสอันสมควร  กล่าวคืออวยพรในโอกาสที่สำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคล  หรืองานในโอกาสพิเศษอื่น ๆ  ถ้าหากบทเพลงมีเนื้อร้องก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องใช้การตีบทมาเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน  จากประสบการณ์ของผู้เขียนเห็นว่าการใส่ท่ารำตามบทมีหลักสำคัญต้องทำความเข้าใจเป็นพื้นฐาน  คือ  ท่ารำที่เป็นแบบแต่โบราณ  เช่น  ท่ารำที่ปรากฏในการรำแม่บทใหญ่  แม่บทเล็ก  และท่ารำที่เป็นท่าระบำ  คือท่ารำที่ปรากฏในชุดการแสดงระบำต่าง ๆ  นั่นเอง
๒. การขับร้องเพลงไทย เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่ง เพลงไทยมีเอกลักษณ์ คือ การเอื้อน ที่สร้างความไพเราะ และบทร้องใช้ภาษาทางวรรณกรรม ก่อให้เกิดอารมณ์คล้อยตาม หวั่นไหวไปตามเรื่องราวของบท   สามารถแบ่งประเภทของการขับร้องเพลงไทยเดิม แบ่งได้  ๔ วิธี
      ๒.๑ การร้องลำลอง  หมายความถึง  คนร้องร้องไปตามทำนองของตน และดนตรีก็บรรเลงประกอบไปโดยใช้ทำนองส่วนของตนต่างหาก แต่ทั้งคนร้องและคนบรรเลง จะต้องใช้ลูกฆ้องหรือเนื้อเพลงแท้ๆอย่างเดียวกัน เพียงแต่คนร้องบรรจุคำร้องลงไปตามลูกฆ้อง ส่วนนักดนตรีแปรลูกฆ้องเป็นทำนองเต็ม (Full Melody) ให้เข้ากับเครื่องดนตรีที่บรรเลง เพลงที่ใช้ร้องลำลอง มักจะเป็นเพลงที่ฟังได้ไพเราะ เช่น เพลงเต่าเห่ เพลงช้าสร้อยสน เพลงตุ้งติ้ง เพลงกลองโยน เป็นต้น
      ๒.๒  การร้องคลอ  หมายความถึง  คนร้องร้องพร้อมไปกับดนตรี โดยผู้บรรเลงจะต้องบรรเลงดนตรีให้เข้ากับทางร้อง เพื่อฟังได้กลมกลืน เพลงที่จะร้องคลอได้ไพเราะ จะเป็นเพลงจำพวกเพลงสองชั้นธรรมดาทั่วไป
      ๒.๓  การร้องส่ง หรือการร้องรับ  หมายความถึง  คนร้องร้องขึ้นก่อน เมื่อจบแล้ว ดนตรีจึงรับด้วยลูกฆ้องเดียวกัน เพียงแต่ว่าการร้องนั้น ผู้ร้องถอดลูกฆ้องออกมาเป็นเอื้อน แต่ดนตรีถอดลูกฆ้องออกมาเป็นทำนองเต็ม (Full Melody)   การร้องส่งหรือการร้องรับนี้ ดนตรีจะต้องมีการสวมร้องด้วย เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการร้องที่ช้า และการบรรเลงที่ค่อนข้างรวดเร็ว และเพื่อความกลมกลืนในการบรรเลงด้วย
      ๒.๔  การร้องเคล้า  หมายความถึง  คนร้องร้องไปตามทำนองเพลงของตน ส่วนดนตรีก็บรรเลงประกอบไปโดยใช้ทำนองส่วนของตน คล้ายๆกับการร้องลำลอง แต่การร้องเคล้านี้ ดนตรีกับร้องเป็นคนละอย่างกัน แต่เมื่อร้องกับดนตรีเคล้าประสานกันแล้ว ทำให้มีความไพเราะเป็นอย่างยิ่ง
๓. ดนตรีไทย  หมายถึง  เป็นเสียงที่เกิดจากความสั่นสะเทือนของวัตถุที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น หรือจากเสียงของมนุษย์เอง ทำให้เกิดทำนอง สูง ต่ำ มีช่วงจังหวะสม่ำเสมอ  ดนตรีไทยเกิดขึ้นจากการผสมวงที่เป็นเอกลักษณ์โดยการนำเอาเครื่องดนตรีหลาย ๆ ชิ้นมาผสมผสานเสียงจนสามารถรวมเป็นวงใหญ่   สามารถแบ่งตามประเภทของการบรรเลงที่เป็นระเบียบมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันเป็น ๓ ประเภท คือ  วงปี่พาทย์  วงเครื่องสาย  และวงมโหรี  ดังนี้
     ๓.๑  วงปี่พาทย์  หมายถึง วงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องตีเป็นสำคัญ  เช่น  ฆ้อง  กลอง และมีเครื่องเป่าเป็นประธานได้แก่  ปี่  นอกจากนั้น วงปี่พาทย์ยังแบ่งไปได้อีกคือ วงปี่พาทย์ชาตรี,             วงปี่พาทย์ไม้แข็งวงปี่พาทย์เครื่องห้าวงปี่พาทย์เครื่องคู่วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่วงปี่พาทย์ไม้นวมวงปี่พาทย์มอญวงปี่พาทย์นางหงส์
    ๓.๒  วงเครื่องสาย  หมายถึง  วงดนตรีที่เครื่องดนตรี ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีสายเป็นประธาน มีเครื่องเป่า และเครื่องตี เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ เป็นต้น ปัจจุบันวงเครื่องสายมี  ๔  แบบ คือ วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว,วงเครื่องสายเครื่องคู่,วงเครื่องสายผสม,วงเครื่องสายปี่ชวา
    ๓.๓ วงมโหรี  ในสมัยโบราณเป็นคำเรียกการบรรเลงโดยทั่วไป เช่น "มโหรีเครื่องสาย" "มโหรีปี่พาทย์" ในปัจจุบัน มโหรี ใช้เป็นชื่อเรียกเฉพาะวงบรรเลงอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเครื่อง ดีด สี ตี เป่า มาบรรเลงรวมกันหมด ฉะนั้นวงมโหรีก็คือวงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ ผสมกัน วงมโหรีแบ่งเป็น วงมโหรีเครื่องสี่,วงมโหรีเครื่องหก,วงมโหรีเครื่องเดี่ยว หรือ มโหรีเครื่องเล็ก,วงมโหรีเครื่องคู่
๔.  การแต่งกาย   หมายถึง   เครื่องห่อหุ้มร่างกายของนักแสดง  เพื่อความสวยงาม  ตามระเบียบวิธีปฏิบัติที่ต้องการของการแสดงนั้น ๆ  นอกจากนี้การแต่งกายยังเป็นสิ่งบ่งชี้ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของความเป็นไทย การแต่งกาย ของนาฏศิลป์ เน้นความประณีตบรรจง การสร้างเครื่องแต่งกาย การแสดง เพื่อบ่งบอก ฐานะ อุปนิสัย รสนิยมความคิดอ่าน อาชีพ และบทบาทของตัวละคร  การแต่งกายของการแสดงไทย  มีระเบียบปฏิบัติที่งดงาม  สามารถแต่งได้หลายแบบ  เช่น แต่งแบบศิลปะละครรำ   แต่งแบบสี่ภาค และแต่งแบบประยุกต์อื่น ๆ ทั้งนี้รูปแบบการแต่งกายนั้นจะต้องสื่อถึงชุดการแสดงนั้น ๆ ด้วย